เขียนโดย
สิรี แสนสา
หัวหน้ากองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
email : siree@cri.or.th
วันที่เผยแพร่
3 พฤศจิกายน 2563
วาจา เป็น สายธารของใจ
ฉันยังจำคำกล่าวของท่านอาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์ เมื่อ 30 ปีก่อน ครั้งเป็นนิสิตปริญญาโทจิตวิทยาการปรึกษา จุฬาฯ ท่านอาจารย์รับเป็นวิทยากรนำคณะนิสิตของพวกเราทัศนศึกษาเยี่ยมชมวัดวาอารามของเมืองเพชรบุรี
ภาพจำในคราวโน้นยังเป็นกลุ่มภาพและก้อนคำในห้วงใจที่อิ่มเอม ท่านบอกเล่าถึงภาพวาดผนังโบสถ์จิตรกรรมศิลปะไทยร่วมสมัยแต่ละยุค คำท่านอาจารย์ถ่ายทอดสื่อความหมาย ความงามของจินตนาการที่ช่างศิลป์สรรค์สร้าง
ด้วยถ้อยคำจากใจที่พิเศษของท่านกวีศิลป์ มีพลังในการพาพวกเราไปสู่มิติความเชื่อ การมองโลกและชีวิตบนวิถีแห่งพุทธะ สะอาดหมดจด วิจิตรตระการใจ ก่อประกายคุณค่าภายใน จากคำที่เล่า จากภาพที่มอง จากใจที่เปิด คำของครูกวีศิลป์แห่งชาติช่างสืบสาน และสร้างเสริมให้งานศิลป์ถิ่นไทย ทรงความหมายความงาม สู่คนต่างรุ่น
ถ้อยวลีมีพลังแว่วดังภายใน
30 ปี วันเวลาพาชีวิตฉันผ่านเคลื่อน คำกล่าวของครูกวีศิลป์แห่งชาติยังแว่วในสำนึกอยู่มิลืม “วาจา เป็น สายธาร” ไหลมาจากใจ เป็นถ้อยวลีที่มีพลังเปรียบดั่งระฆังเตือนฉันเสมอ ฉันตื่นเมื่อหูได้ยิน ฉันหลับเมื่อหูไม่ได้ยิน “คลื่นคำ” ภายในหัวของฉันที่แว่วดังในห้วงสำนึกสะท้อนย้อนให้ฉันเห็นภาวะภายในทุกขณะ คลื่นนี้เคลื่อนไหวไว กระพริบเร็ว จนจ้องจ่อจับได้ยากอยู่นัก คำในหัวที่วิบวับนั้น เป็นภาวะคลื่นแต่ละขณะ ซัดซู่สู่ท้องทะเลใจวันแล้วคืนเล่า การครองใจในโตนเลภายในตน ผจญภัย ใช้ทุกข์สุขเป็นเดิมพันนะ ฉันเข้าใจเช่นนั้น
โลกของคำ
โลกของคำ ภาษาพูด ภาษาเขียน เป็นเครื่องสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติพันธุ์ เปลี่ยนปรับผ่านวันเวลา เราต่างได้รับการถ่ายทอดให้เรียนรู้จักการใช้ภาษาตามวัฒนธรรมในแต่ละกลุ่มสังคม
ยามเยาว์วัย ฉันได้รับการสอนผ่านการฟังการพูดจากภาษาพ่อแม่ผู้กล่อมเกลาเลี้ยงดู พ่อแม่ฉันเป็นคนปักษ์ใต้ ยายร้องเรือกล่อมฉันให้หลับ พ่อฉันเป็นคนถือสัจจะ รักษาคำพูด ฉันเชื่อมั่นในคำของพ่อ แม่เต็มไปด้วยคำย้ำเตือน อย่าอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะกลัวฉันจะมีภัย
ภาษาคน ภาษาใจ
“...ขอร้อง ช่วยพูดให้เป็นภาษาเดียวกันหน่อยนะ…”
ประโยคนี้ฉันคุ้นหู ทุกกลุ่มสังคมวาดหวังให้หันหน้าพูดคุยกัน ไม่ว่าจะเป็น ภาษาพี่น้อง ภาษาญาติในวงศ์วานว่านเครือ ภาษาเจ้านายกับลูกน้องในที่ทำงาน ภาษารัฐกับประชาชน ฯลฯ ฉันสังเกตว่าในทุกกลุ่มสังคมผู้คนต่างคาดหวังในพูดจาดีๆ ต่อกัน
แต่ไฉนทุกวันนี้ คงไม่ปฏิเสธว่า
เราพูดดีๆกันได้ยากจัง !
ฉันเห็นว่าภาษาผู้คนในสังคมล้วนแล้วแต่เป็นคำซ้อนคำ ซ่อนกันไปในห้วงสำนึก ย่อยแยกย้อนแย้ง จนถ้อยคำคนระรนไปตามภาวะคลื่นคำที่ปรากฏซ่อนเงื่อนอยู่ภายใน การดำรงจิตให้คงมั่นท่ามกลางสงครามการใช้ถ้อยคำ แย่งแบ่งแยกส่วน ท้าทาย “ตัวรู้เท่า” ของฉันยิ่งนัก
ถ้อยคำซึ่งเป็นเครื่องมือในการสื่อสารของมนุษย์ หาก “ตัวรู้เท่า” ของมนุษย์อ่อนพลัง ต่างคนต่างมีความหลงเชื่อของตน ย่อมเผลอหยิบฉวยเอาถ้อยคำเป็นเครื่องประหารความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างน่าสะพรึง
โลกเร่าร้อนเพราะหลงใช้คำแรง
มนุษย์มีความวิวัฒน์สร้างเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอเพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น “Life is easy” เรามีแสงสว่างในกลางคืนจากหลอดไฟประดิษฐ์จนลืมเห็นแสงจันทร์แสงดาวที่พร่างพราว เราคอยฟังเสียงนาฬิกาปลุกเพื่อรีบตื่นไปทำงานให้ทันจนลืมได้ยินเสียงนกน้อยที่ต้นไม้ข้างบ้านในยามเช้า เราลืมแล้วลืมอีกที่จะสัมผัสกับมวลมิตรผู้ดำเนินชีวิตร่วมกันในวิถี
ใจเราช่างเหินห่างจากการได้ยินได้เห็นวัฏฏะชีวิตจนน่าใจหาย "ภาวะคนหัวร้อน" เกิดขึ้นมากมายในหลายความสัมพันธ์ การแบ่งที่ไม่เท่ากันของค่าจ้างในตลาดงาน ความมากกว่าน้อยไปที่ต้องท้ากันออกมาพูดโต้ ผู้ครองอำนาจหลงใช้อำนาจเสวยผลประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้อง บทเพลงแห่งกินกามเกียรติยังได้ยลยินในทุกโมงยาม
ต่างคำคนต่างมุมมอง
แดนศิวิไลซ์อยู่ไหนหนอ วลีหนึ่งของบทเพลงในตำนาน เป็นคำถามที่ฉันค้นหาจากเพื่อนผู้ร่วมสังคม การมีโอกาสทำงานยังชีพในสายงานบุคคล เป็นแบบฝึกหัดคอยเตือนตนให้หมั่นฝึกเข้าใจคนและเข้าใจตัวเองอยู่เสมอ ฉันได้ยินทั้งเสียงของผู้ใหญ่คนโตที่พูดถึงคนตัวน้อย ฉันได้ยินทั้งเสียงคนตัวน้อยพูดถึงผู้ใหญ่คนโต ฉันได้เห็นทั้งความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของผู้คนในการทำงานที่มีความเห็นความเชื่อต่างกัน เหมือนเขามองหากันคนละช่องหน้าต่าง ซึ่งยากมาก กว่าจะมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน
หน้าต่างใจไร้ถ้อยคำ
“ฉันพยายามทำและหวังให้เรามีหน้าต่างวิเศษสักบาน” ไว้หันมองหากันเมื่อเกิดความร้าวรานใจ ขอให้ฉันและเธอเคลื่อนใจมาใกล้ๆ ช่องแสงแห่งหน้าต่างวิเศษบานนี้ มันอาจจะฝ่าความรู้สึกยากมากมาย กว่าจะ “ปลดแอกแห่งม่านความเชื่อ” ความเป็นอยู่มีอยู่ของฉันและเธอ ลองสังเกตคลื่นคำภายใน สัมผัสคำเหล่านั้นด้วยใจนิ่งๆ ฟังจนคลื่นคำนั้นสลายไปตามธรรมดาของมัน เสียงภายในที่หรี่ลง สงบ และเงียบสนิท
ใจผ่องแผ้วเหนือคลื่นคำ
เมื่อไร้คลื่นคำที่แว่วเสียงภายใน เราน่าจะพบว่า
เราเป็นเพื่อนกัน เราเหมือนกัน เราเท่ากัน
เมื่อใจสงบไม่มีคลื่นเพลงที่ชวนหลงไปในกินกามเกียรติ ใจเรามิใช่ผู้ถูกกระทำให้ร้าวรานโดยผู้ใดทั้งนั้น เราต่างร่วมเกิดร่วมแก่ร่วมทุกข์ และก็ร่วมตายเหมือนกัน ที่สุดวันสุดท้ายของทุกผู้ทุกนาม ก็ไร้ตัว ไร้ตน ไร้ซึ่งคลื่นคำในหัว
เงียบสนิท สงบ และสูญจาก อย่างไม่รู้ว่า เธอคือใคร ฉันคือใคร พวกเขาพวกเราคือใครอีกต่อไป
"สันติภาพ" คลื่นสงบภายใน
เวลาที่ฉันเริ่มหัวร้อน นี้คือคลื่นลมหายใจที่ทำให้ฉันตื่นรู้ พาให้ฉันหัวเย็นลงได้ทุกครั้ง ฉันขอบคุณและเชื่อเสมอว่าเพื่อนรอบตัวของฉันก็มีคลื่นลมหายใจเช่นนี้อยู่ทุกคน คลื่นแห่งสันติภาพ ฉันเชื่อว่าทุกคนต่างต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสันติสุข มั่นคงในเสรีภาพแห่งตน โลกภายนอกก็เล่นกันไปตามบทบาทหน้าที่ ต่อรองร้องว่ากันไปตามท้องเรื่องตามทรงที่จะองค์ลงกันไป โลกภายในก็หมั่นคอยดูแลรักษาตนเองให้รอดปลอดภัยจากสงครามแห่งคลื่นคำกันนะเพื่อน ฉันส่งใจเช่นนี้ให้เธอเสมอนะ
Comments